Pages

The diary of learning

สมุดบันทึกการเรียนรู้

Wednesday, November 21, 2012

Owl city - Vanilla twilight

สนธยาวานิลลา - vanilla twilight


     หลายคนพอฟังชื่อเพลงแล้วก็คงงงไปเหมือนกับผม ว่า  เอ๊ะ อะไร สนธยามาเกี่ยวอะไรกับวนิลา  วนิลาสื่อสัญลักษณ์อะไร...
     ยิ่งฟังเนื้อเพลงก็ยิ่งงง เพราะมีการเปรียบเทียบหลายอย่างมาก พร้อมดูเอ็มวี ก็ยิ่งงงเข้าไปอีกว่า อะไรจะอาร์ตปานนี้

     อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า เพลงนี้เป็นเพลงเศร้าซึ้ง หวนนึกถึงแฟนที่จากไปของผู้แต่ง แต่จะจากไปอย่างไร ผมก็ไม่แน่ใจ ลองค้นหาหลายแหล่ง บางที่ก็บอกว่า ตีความเป็นการเสียชีวิต บางที่ก็แค่จากไปเฉยๆ
      ในที่นี้ผมจะอธิบายศัพท์บางคำแล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องการตีความจะพยายามตีความอันที่คิดว่าชัดเจน ส่วนอันที่ไม่ชัดเจน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อ่านทุกท่านแล้วกันนะคับ

     doze off คืองีบหลับ จาก 'cause I'll doze off safe and soundly, but I'll miss your arms around me
     จากประโยค I'd send a postcard to you, dear. Cause I wish you were here. คำว่า "I'd" "you were"สื่อถึงความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ โดยอาจใช้ในลักษณะ
             : I wish I would be a millionaire.
     light blue น่าจะหมายถึงท้องฟ้าตอนเช้า I'll watch the night turn light blue. คือฉันดูพระอาทิตย์กำลังขึ้นส่องแสงตอนเช้าตรู่
     repose แปลว่า การนอน จาก I'll find repose in new ways ประโยคนี้น่าจะสื่อถึง ฉันพยายามนอนให้หลับปกติ แต่ทำไม่ได้เพราะคิดถึงเธอ
     nostalgia คืออาการคิดถึงอดีต จาก Cause cold nostalgia chills me to the bone. ความหนาวสื่อถึงความเหงา   ประโยคน่าจะสื่อ ความอาลัยอาวรณ์ถึงอดีตมันทำให้ฉันหนาวเข้าไปถึงกระดูก คือหนาวจนสุดใจเลย
     drench คือ ทำให้เปียกชื้้น
     vanilla twilight ไม่แน่ใจจะสื่อถึงอะไร อาจจะหมายถึงสีของท้องฟ้า เป็นสีวานิลลาของเย็นๆ  โดยประโยคถัดมาบอกว่า ฉันจะนั่งที่ ระเบียง porch  ตลอดค่ำคืน  และปล่อยตัวเองจมในความคิด waist-deep คือเปรียบเทียบว่าจมลึกถึงระดับเอว ให้คิดถึงเธอ จะได้ช่วยลดความเหงาลงบ้าง
     The violet eyes get brighter. violet eyes ไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงอะไร บางที่บอกว่าเป็นดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้ ที่ตอนนี้หยุดร้องแล้ว  แต่ผมว่าน่าจะสื่อถึงได้ด้วยว่า เป็นพระอาทิตย์ที่กำลังฉายแสงวันใหม่ตามประโยค
     And heavy wings grow lighter. heavy wings อันนี้ก็เหมือนกัน มีตีความหลายแบบ บางคนบอกว่าเป็นความเสียใจหนักอึ้งที่กำลังดีขึ้น ขณะที่บางคนสื่อถึง เมฆครึ้มที่กำลังหายไป
      และทำให้ฉันได้สัมผัสท้องฟ้า และรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง กลับมามีชีวิตชีวาอย่างเคย
      I'll taste the sky and feel alive again.
     ขณะเดียวกัน เขาก็จบเพลงด้วยการบอกว่า ถึงยังไง ตอนนี้อาการเศร้าฉันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่มีทางลืมเธอ  และถ้าสามารถกลับไปบอกเธอในอดีตได้ ก็อยากให้เธอมาอยู่ข้างฉันตอนนี้

     จากการตีความที่อธิบายไป คิดว่า เพลงนี้ดำเนินเรื่องตามท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่คืนของวันหนึ่ง ผ่านตอนเช้า ตอนเย็นของวันนั้น ไปจนถึงคืนถัดไป และเช้าวันถัดไป ขณะเดียวกัน ท้องฟ้าก็สื่อถึงอารมณ์ต่างไปด้วย
     แต่ไม่ว่าจะตีความแตกต่างกันในรายละเอียดอย่างไร เพลงนี้ทำให้ผมเหงา ทรมานถึงหัวใจ เมื่อนึกถึงบรรยากาศ vanilla twilight ที่ฉันเหงาจนอยากจะไปบอกเธอว่า Oh darling, I wish you were here.
   

Thursday, November 8, 2012

60-second mind : How we process horrible sounds

เราประมวลผลของเสียงน่าขนลุกอย่างไร
ตอบ สมองเราต่อสายเชื่อมกับสัญญาณเตือนภัย!!! "hardwired"

http://www.scientificamerican.com/podcast/episode.cfm?id=how-we-process-horrible-sounds-12-10-26

     ในบทความนี้กล่าวถึงสมองสองส่วนคือ auditory cortex ประมวลผลเกี่ยวกับเสียง  (where a sound's acoustic features are processed : acoustic=เกี่ยวกับเสียง features=ลักษณะ)     และ amygdala ซึ่งเป็นที่เก็บความทรงจำเรื่องอารมณ์ (the small part of the brain in charge of emotional memory : in charge of=รับผิดชอบ, ทำหน้าที่)
     เมื่อนักวิจัย สแกนสมองของผู้เข้าร่วมทั้งสิบหกคน พบว่าสมองทั้งสองส่วนนี้ทำงานมาก จึงสรุปว่า สมองนั้นรับเสียงผ่าน auditory cortex และส่งสัญญาณไปกระตุ้นสมองส่วน amygdala ซึ่งตอบสนองโดยส่งปฏิกิริยาเชิงลบกลับมาที่ auditory cortex ซึ่งตอบสนองเป็นอย่างรุนแรงต่อเสียงนั้น  โดย ปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดเร็วมากจนแทบจะเรียกได้ว่า ทันทีทันใด instantly
     และนักวิจัยหวังว่าจะทดสอบแบบจำลองนี้กับเสียงรูปแบบอื่น ทั้งเสียงไพเราะน่าฟัง เสียงที่ไม่น่าฟังแบบอื่นๆ คำหยาบคาย


Sunday, November 4, 2012

Keep your chin up! - The English we speak

     สัปดาห์นี้ รายการ The English we speak จาก BBC :earning English  เสนอสำนวน "keep your chin up"
เพื่อนๆลองเดาความหมายกันดูก่อนนะครับ

     คราวนี้ เวรา ประสบอบัติเหตุจากการเล่นสกี นอนอยู่ในโรงพยาบาล
     ขณะที่เพื่อนร็อบ มาเยี่ยม เวราก็บ่นใหญ่เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของตัวเอง จนร็อบได้พูดคำว่า "Keep your chin up!"
     เอาล่ะสิ
     "??? ยกคางขึ้น"

     เจ้าสาว เวรา ของเราก็ตื่นเต้นใหญ่ เห็นร็อบ ดูมีความรู้เรื่องการแพทย์ทางเลือก นึกว่าการยกคางขึ้นเป็นวิธีการรักษาอาการปวดแบบใหม่ เลยถามกลับไปว่ามันดีต่อระบบไหลเวียนรึเปล่า พร้อมกับยกคางขึ้น
     ทีนี้ พอร็อบพอเห็นเข้า ก็รู้ว่าเพื่อนเข้าใจผิด เลยเริ่มอธิบายความหมาย

     ร็อบ : เวลาเราบอกให้ใคร keep their chin up เรากำลังให้กำลังใจ บอกให้เขาคิดบวก พูดเชิงบวก ทำอะไรเชิงบวก ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

     ทีนี้ เวรา ก็เข้าใจความหมายและโดนบอกให้พยายามฝึกต่อไป ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น ซักวัน ก็จะเล่นสกีได้เก่งเอง

http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/language/theenglishwespeak/2012/10/121030_tews_95_keep_your_chin_up.shtml




Thursday, October 4, 2012

Holstee Manifesto

"This is your LIFE. Do what you love and do it often."


       เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมบังเอิญไปเจอโปสเตอร์ ที่มีข้อความทั้งหมดบนวิดีโอนี้เขียนไว้อยู่ ประทับใจมาก เลยเอาไปแนะนำให้เพื่อน  พอดีเพื่อนผมรู้จักอยู่แล้ว เลยได้รู้ที่มาว่ามาจาก โครงการ Holstee Manifesto ของกลุ่มดีไซน์เนอที่รวมตัวกันในนาม Holstee (นี่เป็นบล็อกของพวกเขา http://blog.holstee.com/)
      หลังจากนั้น ผมจึงพยายามทำความรู้จักกับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เห็นงานออกแบบสร้างสรรค์ และเห็นคลิปในยูทูปของ Holstee Manifesto ที่กลุ่มคนออกมาขี่จักรยาน


       โดยส่วนตัว ผมฝันอยากให้เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ มีฟุตบาทเรียบๆ มีทางจักรยาน และมีสีเขียวๆมากกว่านี้  พอได้เห็นคลิปนี้ก็ชอบมาก ลองเอามาให้เพื่อนๆดูกันว่า ใครจะชอบ ฉากไหน ประโยคไหนมากที่สุด




       เอาละ ถึงตอนนี้ หลายคนอาจสงสัยจากหัวข้อเอนทรี่ว่า Manifesto คืออะไร
       Manifesto หมายถึง คำประกาศที่เป็นทางการที่แสดงจุดยืนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าจะแปลเป็นคำๆน่าจะได้ว่า แถลงการณ์ หรือคำประกาศเจตนา
        ดังนั้น Holstee Manifesto ก็เป็น คำประกาศเจตนารมณ์ของกลุมHolstee ที่กล่าวสนับสนุนให้คนกล้าทำตามความต้องการ ความฝันของตัวเอง มีความรักในสิ่งที่ทำ(passion)
        "นี่เป็นชีวิตของคุณ ทำในสิ่งที่คุณรัก ทำมันให้บ่อย  ถ้าคุณไม่ชอบอะไร ก็เปลี่ยนมันสิ ถ้าคุณไม่ชอบงานของคุณ ก็ลาออก  ถ้าคุณมีเวลาไม่พอ ก็หยุดดูทีวีซะ และถ้าคุณกำลังมองหาความรักในชีวิตของคุณ ก็หยุดก่อน เพราะพวกมันกำลังรอคุณอยู่ เมื่อคุณเริ่มทำในสิ่งที่คุณรัก  
   หยุดวิเคราะห์ให้มากเกินเหตุ ชีวิตนั้นง่ายดาย อารมณ์ล้วนงดงาม เวลาคุณกิน ให้ซาบซึ้ง(appreciate) กับคำสุดท้ายเสมอ(last bite - เวลาเรากัดอะไรกินเป็นคำๆ) เปิดใจ แขน และหัวใจกับสิ่งใหม่ คนใหม่ๆ  พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน(united)ในความแตกต่าง  
   จงถามคนถัดไปที่คุณพบว่า อะไรคือสิ่งที่พวกเขารัก(passion) และแบ่งปันความฝันที่สร้างแรงบันดาลใจ(inspiring dream)ให้กับพวกเขา 
   เดินทางบ่อยๆ การหลงทาง(getting lost - ในที่นี้น่าจะเป็นเชิงเปรียบเทียบด้วยว่า ลองทำอะไรๆ จะได้ค้นพบตัวเอง แบบเดินทางไปตามความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ)จะช่วยให้คุณค้นพบตัวเอง บางทีโอกาสนั้นมีเพียงครั้งเดียว คว้ามันไว้(seize them!)
   ชีวิตนั้นเกี่ยวกับคนที่คุณพบ และสิ่งที่พวกคุณร่วมกันสร้างขึ้นมา ดังนั้นจงออกไปสร้างสรรค์ ชีวิตนั้นแสนสั้น ทำฝันคุณให้เป็นจริง(live your dream - อยู่ในฝันของคุณ น่าจะสื่อว่า ทำให้ชีวิตคุณเป็นเหมือนฝันของคุณ) และแบ่งปัน(share อีกเวอร์ชั่นใช้ wear) ความรักในสิ่งที่คุณทำ "
       
       inspire มากๆ ว่า ชีวิตเป็นของเรา  เราต้องเลือกทำอะไรตามความต้องการของเรา แต่นี่ไม่ได้หมายถึงความเห็นแก่ตัว แต่เป็รความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นตัวของตัวเองนี่แหละที่จะทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า คุณค่าที่เราสร้างมากับมือของเราเอง จะทำให้เรามีความสุขทุกวินาทีของลมหายใจ นับตั้งแต่วินาทีนี้ (ที่เราไม่ต้องทนทุกข์เสียสละเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่เราก็สัมผัสไม่ได้)

       This is your life...don't let others control you

Tuesday, October 2, 2012

3 things you don't know about Ingrid Michaelson

Ingrid Michaelson เจ้าของเพลง you and I ที่เคยเขียนแนะนำไป
คราวนี้เธอ มาให้สัมภาษณ์สั้นๆ ลองฟังดูว่าสามสิ่งนี้คืออะไร

             สามสิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับฉัน Ingrid Michaelson
1. I used to teach children theaters for about 4 years.   
       จะได้ยินคำว่า I absolutely adore หมายถึงชอบมาก(ไม่เป็นทางการ)  และเธอยังบอกว่า I was gonna teach kids... 
2. I like to make truffles. All different kinds of truffles
       เอ๊ะ truffles คืออะไรกัน เห็ดรึเปล่า? 
       ที่จริง เป็นขนมอย่างนึง เรียกเต็มๆว่าchocolate truffle ข้างนอกหุ้มด้วยช็อกโกแล็ต ข้างในมีไส้ แล้วแต่จะใส่ แต่ Ingrid บอกว่า ที่เธอทำเก่งที่สุด (I perfected) คือ Grand Marnier raspberry truffles dark chocolate คือทรัฟเฟิลที่ใช้ดาร์กช็อกโกแล็ต แล้วข้างในใส่ราสเบอรรี่กับเหล้า Grand Marnier ฟังดูน่าลองจังเลยนะครับ
3. I love to sleep.!!! ฉันรักการนอน
       แม้เธอจะไม่ proud ที่จะพูด แต่ก็ต้องยอมรับว่า I don't function well on less than 8 hour, but I like to get 10 hours at night. จนบางทีที่ต้องมาถ่ายรายการที่เธอโชว์ตามหน้าปกนิตยสาร ต้อง get up really early 7.45!!! จนหน้ามุ่ยไปเลย

       ผมก็ชอบนะครับนอนสักเก้าชั่วโมง สิบชั่วโมง นอนแล้วตื่นมาฟังเพลง ดูยูทูป แล้วมาเขียนบล็อกต่อ อ่านหนังสือนิดหน่อย แล้วก็นอนอีก  ช่างเป็นชีวิตที่สมดุลจริงๆ


                              --I really get a sleep-work balance!!!

       

Monday, October 1, 2012

Taylor Swift - We are getting back together

เพลงติดชาร์ทบิลบอร์ด เพลงนี้ เทย์เลอร์แก บอกไม่ง้อใคร "เราคงไม่มีทางกลับมาคบกันได้อีก"
ลองไปฟังกันเลยนะครับ


I remember when we broke up first time
Saying, "This is it, I've had enough," 'cause like
We hadn't seen each other in a month
When you said you need 1-----. What?!!
Then you come around again and say
"Baby. I miss you and I swear I'm gonna change, 2----- me."
Remember how that 3------ for a day?
I say, "I hate you," we 4----- up, you call me, "I love you."

Oooh we 5------ it --- again last night
But oooh, this time I'm telling you, I'm telling you

**We are never ever ever getting back together
We are never ever ever getting back together
You go talk to your friends, talk to my friends, talk to me
But we are never ever ever ever getting back together

Like, ever...

I'm really gonna miss you picking 6-----
And me, 7------- for it screaming that I'm right
And you, would hide away and find your 8----- of mind
With some 9----- record that's much cooler than mine

Oooh, you called me up again tonight
But Oooh, this time I'm telling you I'm telling you

[**]

I used to think that we were 10------- ever
And I used to say, "Never say 11-----"
Uggg, so he 12----- me up and he's like "I still love you,"
And I'm like... "I just I mean this is 13----------, you know, like,
We are never getting back together. Like ever"

ครั้งนี้ เลิกแล้วเลิกเลย ไม่มีรีเทิร์น... เรามาดูคำศัพท์กันดีกว่า
1. space : คุณพูดว่า คุณต้องการที่ว่าง หมายถึงพื้นที่ส่วนตัว (บางทีก็อยากอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวบ้าง)
2. trust : Trust me! เชื่อฉันสิ! เป็นคำพูดที่ใช้เรียกความเชื่อใจ ให้สัญญา
3. lasted : last ในที่นี้ไม่เป็นadj.หมายถึงท้ายสุด แต่เป็นv.หมายถึง คงอยู่   Remember how that lasted for a day จำได้ไหมว่าไอ้ที่คุณเปลี่ยนน่ะ มันก็อยู่ได้แค่วันเดียว
                       last-minute adj.  ในวินาทีสุดท้าย(เพิ่งตัดสินใจ)
                       long-lasting adj. คงอยู่ยาวนาน
4. break : break up เลิกกัน หรือคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียง
                              split up แยกทาง
                              dump ทิ้ง eg. He dumped me.  เขาทิ้งฉัน
5. called (it) off  : บอกเลิก หรืออาจใช้ว่า ยกเลิก ก็ได้  eg. They called off the meeting tonight
6. fight : I'm really gonna miss you picking fight ฉันต้องคิดถึงตอนเธอพาลหาเรื่องแน่ๆ
                provoke ยั่วยุ  provoke a fight ยุให้ทะเลาะ
7. falling : falling for screaming that I'm right  หลงพลาดที่ไปตะโกนบอกว่าฉันถูก(ก็เลยเป็นเรื่อง! ทะเลาะกัน)
        แต่คำว่าfall for ยังมีอีกความหมายนอกจาก หลงเชื่อ  คือ ตกหลุมรัก eg. I think I'm fallling for you.
8. peace : ความสงบสุข
9. indie : อินดี้  ย่อมากจาก independentซึ่งแปลว่า อิสระ ไม่ขึ้นกับอะไร
                 คือ ไปหาที่สงบๆ ฟังเพลงอินดี้ ที่ ดีกว่าเจ๋งกว่า แฟนตัวเอง
10. forever : we were forever เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
11. never : "Never say never" อย่าพูดว่าไม่มีทาง
12. called : ยื้ออออ!!! เขาโทรมาแล้วก็บอกว่า ฉันยังรักคุณอยู่นะ(พูดแบบประชด)
13. exhausting : น่าหมดแรง เฮ้อ!เพลีย
                         แต่ว่า exhaustive แปลว่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน thorough
                         exhaust pipe ท่อไอเสีย
                         exhaustible ใช้แล้วหมดไป ตรงข้ามกับinexhaustible eg. Fossil fuel is exhaustible.

สรุปว่าเพลงนี้นางเอกกมาบ่น ว่าไปต้องมาง้อฉันแล้ว  คราวนี้เลิกแล้ว เลิกจริงไม่มีคืนดีรีเทิร์นเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะคืนดีทีไร บอกจะปรับปรุงตัว ก็อยู่ได้ไม่ถึงวัน เวลาทะเลาะกัน ก็ชอบหนีไปอยู่คนเดียว เห็นเพลงอินดี้ดีกว่าฉัน แถมบอกว่า ต้องการพื้นที่ส่วนตัว แล้วเอาแต่โทรมาบอกว่า ฉันยังรักคุณอยู่ เฮ้อเพลียจริง

千里鹅毛 ขนห่านหมื่นลี้ (成语)

千里送鹅毛, 礼轻情意重  เดินทางหมื่นลี้มอบขนหงษ์ สิ่งของเบาแต่น้ำใจหนักอึ้ง

สำนวนนี้มาจากเรื่องราวที่ว่า เหมี่ยนโป๋เกา(缅伯高)เป็นตัวแทนนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแก่ฮ่องเต้ ซึ่่งเครื่องราชบรรณาการนั้นคือห่านฟ้า(天鹅)ที่มีขนสีขาว  เดินทางมาไกล  ระหว่างทางผู้ขนเครื่องบรรณาการนี้มาพบบ่อน้ำเข้า เลยคิดนำห่านไปอาบน้ำ แต่ทันทีที่ห่านลงน้ำ  ห่านก็บินหนีไป ไม่กลับมาอีก ทิ้งไว้แต่ขนเพียงเส้นเดียว
เมื่อไปถึงพระราชวัง เหมี่ยนโป๋เกาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ทูลตามความจริง ว่าเขานั้นเสียใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้ปล่อยห่านฟ้าบินหนีไป คงเหลือไว้แต่ขนห่าน และกล่าวต่อ ว่า "千里送鹅毛, 礼轻情意重  ข้าพเจ้าเดินทางหมื่นลี้เพื่อมอบขนหงษ์ ถึงแม้สิ่งของเบา แต่น้ำใจข้าพเจ้านั้นหนักอึ้ง"
เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน รู้ถึงความจงรักภักดี จึงให้อภัยในความผิดครั้งนี้  และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  สำนวน "千里送鹅毛, 礼轻情意重" ก็ถูกใช้จนถึงปัจจุบัน

***วิดีโอ มันมีสองภาษา แต่ออกคนละข้างหูฟังนะ

Tuesday, September 25, 2012

Ingrid Michaelson - You and I [เพลง]

You and I เธอกับฉัน
เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ผมชอบมากๆเลย เพราะเป้นเพลงที่น่ารักที่สุด คนร้อง Ingrid ก็เสียงน่ารัก ร้องเพลงแนวนี้ เนื้อหาก็น่ารัก แถมถ้าดูวิด๊โอนี้อีกยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ เพื่อนๆลองไปฟังกันเลยมั๊ยครับ



Don't you worry there my honey
We might not have any money
But we've got our love to pay the 1-----

Maybe I think you're cute and funny
Maybe I wanna do what 2------- do with you if you know what I mean

**Oh let's get rich and buy our parents homes in the south of 3------
Let's get rich and give everybody nice sweaters and teach them how to dance
Let's get rich and build a house on a mountain making everybody look like ants
From way up there, you and I, you and I

Well you might be a bit 4--------
And you might be a little bit 5------ 
But baby how we 6----- like no one else
So I will help you read those books
If you will 7------ my worried looks
And we will put the 8-------- on the shelf

[**]

เป็นไงกันบ้างครับ น่ารักมากใช่มั๊ยล่ะ เรามาดูคำศัพท์กันดีกว่า
1. bills : ใบเสร็จ pay the bills จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆนั่นเอง      เรามักพูดว่า bill, please(แบบอังกฤษ) หรือ check, please(แบบอเมริกัน แต่เดี๋ยวนี้ก็พูดได้หมดแหละ) เวลาเรียกพนักงานเก็บเงินในร้านอาหาร
2. bunnies : do what bunnies do ทำอะไรที่กระต่ายเขาทำกัน (ความหมายโดยนัยคือ กุ๊กกิ๊กมีอะไรกัน)แต่พูดแบบน่ารักๆ
3. France : เพื่อนสงสัยมั๊ยว่า ทำไมต้อง the south of France เพราะ ที่นี่จะให้อารมณ์ชิลๆ มีบ้านหลังเล็กๆสีแสดๆสดๆอบอุ่นๆริมทะเล มีที่ท่องเที่ยวอย่างโปรวองซ์ ที่ศิลปินหลายคนอย่าง่นแวน โกห์ ก็ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่นี่(อ้างอิงhttp://board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=2&topic_no=119059&topic_id=120470)
4. confused : สับสน mixed up ก็มีความหมายคล้ายกัน  คำนามคือ confusion
5. bruised : รอยช้ำ be a little bit bruised เจ็บตัวนิดหน่อย เจ็บนิดช้ำหน่อยธรรมดาชีวิตคู่ที่ต้องมีกระแทกกระทั้นกันบ้าง
6. spoon : v. นอนกอดกัน โดยกอดจากข้างหลัง จนตัวงอเหมือนช้อน
7. soothe : v. บรรเทา ปลอบประโลม ทำให้คลายลง soothe my worried looks คลายความกังวลลง
8. lonesome : n. ความเหงา put the lone some on the shelf คืเก็บความเหงาขึ้นหิ้ง

เพลงนี้เล่าถึงคู่รัก ที่รักกันโดยไม่คิดเรื่องเงิน ไม่กังวลเรื่องอื่นใดนอกจากขอให้ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทำอะไรร่วมกัน มีความสุขร่วมกัน เธอกับฉัน คุณกับผม you and I ^ ^

Tuesday, August 21, 2012

60-second mind : Attraction between friends of opposite sexes






Close friends of opposite sexes—is it possible for it to be platonic? Or will there inevitably be some sort of uncomfortable subtext of attraction?

Researchers surveyed more than 80 man-woman pals. They found that men were more attracted to their female friend than vice versa. Men also consistently and mistakenly assumed that their female buddy was attracted to them more than they actually were.

And perhaps more surprising, men’s attraction to their women friends was not deterred if they, or the friend, were already romantically involved with another person.

Women, on the other hand, reported having much less desire to date their male friend if they, or he, were already romantically engaged with another. The study is in the Journal of Social and Personal Relationships.

So how to handle the conflict of attraction between friends? In another survey the researchers found that, overall, the participants were five times more likely to see it as burden than as not.  Although the scientists spotted a gender difference here, too. Turns out men felt there was more to gain from attraction in friendships, and women felt there was more to lose. So much for the fantasy of friends with benefits.

—Christie Nicholson


platonic = friendly but not involving sex
inevitably = อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
subtext =
a hidden meaning or reason for doing sth


   pals = เพื่อน(informal)
vice versa = เป็นเช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม
consistently =อย่างเสมอต้นเสมอปลาย




deterred
= ถูกทำให้เปลี่ยนใจ, ถูกขัดขวาง












burden = ภาระ    it = the conflict of attraction between friends

turn out = ปรากฏว่า


fantasy
= เรื่องราวแฟนตาซี(น่าตื่นตา ตื่นเต้น จินตนาการ)

ถามว่า ข่าวชิ้นนี้ต้องการสื่อถึงประเด็นใดเป็นหลัก?


[[ตอบ  the conflict of attraction between friends คือ เราจะเลือกเป็นเพื่อน(ความสัมพันธ์แบบplatonic) หรือจะพัฒนาไปเป็นแฟน คู่รัก(ความสัมพันธ์แบบromantic)]]
//ระวัง เพื่อนสนิก คิดไม่ซื่อนะครับ//http://www.youtube.com/watch?v=dzHrlmil0UI